อุปสรรค 3 ประการที่ BTC และ ETH ต้องเจอในปี 2022
2021-12-28 16:45:29
more 
585

ผ่านไปเพียงครู่เดียว เราก็เดินทางมาถึงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2021 กันแล้ว ในปีนี้หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายในตลาดสกุลเงินดิจิทัล ในช่วงต้นปี การเติบโตของ DeFi เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก ตามมาด้วยขาขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลอีเธอเรียม ที่ปีนี้เติบโตแซงหน้าบิทคอยน์ได้อย่างขาดรอย ก่อนที่จะมาปิดท้ายด้วยการลงทุนในโลก GameFi โลกที่เกมกับการทำงานสามารถกลายเป็นเรื่องเดียวกัน 

ปี 2021 เป็นปีที่สกุลเงินดิจิทัลบิทคยอน์และอีเธอเรียมได้รับการยอมรับมากขึ้น การถือกำเนิดขึ้นของกองทุน ETF บิทคอยน์ได้ทำให้มูลค่าของบิทคอยน์ฟิวเจอร์สเคยสามารถขึ้นมายืนเหนือ $50,000 ในขณะที่อีเธอเรียมฟิวเจอร์สสามารถขึ้นมา $4,000 นี่คือช่วงเวลาที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปทศวรรษก่อน แต่พูดชื่อบิทคอยน์ก็ยังแทบไม่มีใครรู้จักเลย

จากวันนี้ไม่มีใครรู้จักคริปโตฯ มาถึงวันนี้การเติบโตของสกุลเงินดิจิทัลในปี 2021 กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนทั่วไปพูดถึงกันราวกับว่าได้เป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัลกันทุกคนแล้ว บรรยากาศเช่นนี้เหมือนจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ยิ่งโลกคริปโตฯ เติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้ร้ายในสังคม และถูกจำกัดจากภาครัฐก็มีมากยิ่งขึ้น เรย์ ดาริโอ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังเจ้าของหนังสือ The Principles เคยกล่าวเอาไว้ว่า “การกำจัดสกุลเงินดิจิทัลของภาครัฐเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายมาก” ดังนั้นในปี 2022 ปีที่สกุลเงินดิจิทัลจะยิ่งเติบโตไปไกลมากกว่านี้ มีอุปสรรคอะไรบ้างที่รอโลกไร้พรมแดนแห่งนี้อยู่ ในบทความนี้เราจะพาไปดูกัน

ภาพรวมตลาดสกุลเงินดิจิทัล

ใครก็ตามที่ถือบิทคอยน์และอีเธอเรียมมาตั้งแต่วันที่วันที่ 31 ธันวาคมปี 2020 มาจนถึงตอนนี้เชื่อได้เลยว่าคงจะกลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว

BTCUSD Monthly 2010-2021BTCUSD Monthly 2010-2021

ที่มา: Barchart

รูปนี้คือกราฟบิทคอยน์ที่ปรับตัวขึ้นจาก $28,986.74 ในวันที่ 31 ธันวาคมปี 2020 ขึ้นมายัง $50,818 ในวันที่ 27 ธันวาคม 2021 จากวันนั้นจนถึงวันนี้ คิดเป็นมูลค่าการเติบโตมากกว่า 75%

ETHUSD Monthly 2010-2021ETHUSD Monthly 2010-2021

ที่มา: Barchart

หากคิดว่าบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นมาเยอะแล้ว เราอยากให้ดูกราฟอีเธอเรียมในรูปนี้ก่อน ในช่วงสิ้นปี 2020 มูลค่าของสกุลเงินอีเธอเรียมเคยมีตัวเลขอยู่ที่ $738.912 แต่เมื่อมาถึงวันที่ 27 ธันวาคมปี 2021 มูลค่าของสกุลเงินอีเธอเรียมได้เปลี่ยนจาก $700 กว่า กลายมาเป็น $4,060 คิดเป็นการเติบโตมากกว่า 449% 

ถามว่าข้อมูลนี้สามารถบอกอะไรกับนักลงทุนได้บ้าง? ในปี 2020 บิทคอยน์เคยเติบโตขึ้นจาก $20,000 กว่าเหรียญขึ้นมายืนเหนือ $60,000 ได้ แสดงให้เห็นถึงการเข้าสู่โลกสกุลเงินดิจิทัลของนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น แต่มาปีนี้ การที่มูลค่าของอีเธอเรียมสามารถเติบโตนำบิทคอยน์ได้นั้น แสดงให้เห็นว่าคนที่เข้ามาแล้ว ได้ศึกษาจนทราบว่าบิทคอยน์และอีเธอเรียมมีจุดประสงค์ในการใช้งานต่างกัน และมีโอกาสที่ในอนาคตโลกสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 16,000 เหรียญจะถูกต่อยอดผ่านอีเธอเรียมได้ง่ายกว่า 

ถือเป็นเรื่องดีที่เราได้เห็นสกุลเงินดิจิทัลมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงที่ตลาดทุนแห่งนี้จะถูกควบคุมก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ในความเห็นของผม ความเสี่ยงที่สกุลเงินดิจิทัลจะต้องเจอในปี 2022 มีดังนี้

1. ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถดูแลกระเป๋าเงินดิจิทัลได้

สำหรับคนที่มีความรู้คอมพิวเตอร์ และคุ้นชินกับการทำธุรกรรมกับสกุลเงินดิจิทัลเป็นอย่างดี เชื่อว่าพวกเขาคงจะไม่มีปัญหาอะไรกับการรักษาเงินในกระเป๋าดิจิทัล เพราะเรื่องนี้ถือเป็นพื้นฐานที่คงลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลจำเป็นต้องมี แต่หากสกุลเงินดิจิทัลคิดที่เป็นสกุลเงินกลางของโลก หมายความว่ามันต้องสามารถเข้าถึงแม้คนที่ไม่มีความรู้ด้านการเงินหรือเทคโนโลยีเลยก็ตาม

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ แจ็ค ดอร์ซีย์ อดีต CEO ของทวิตเตอร์ที่ได้หันมาอุทิศชีวิตให้กับการสร้างกระเป๋ษสำหรับสกุลเงินดิจิทัลได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในตอนนี้เขาให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของกระเป๋าเงินดิจิทัลมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีความรู้ด้านคริปโตฯ หรือคนที่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน ต้องสามารถใช้กระเป๋าเงินของแจ็ค ดอร์ซีย์ได้ นั่นคือสิ่งที่เขาหวังเอาไว้

ในแง่ของการลงทุน ถึงภาครัฐจะไม่ได้ขัดขวางการลงทุนในตลาดสกุลเงินดิจิทัล แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจความซับซ้อนของการทำธุรกรรมผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลได้ ดังนั้นรัฐจึงอนุญาตให้ลงทุนในบิทคอยน์ผ่านกองทุน ETF สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลทางอ้อม แต่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงตรงๆ สามารถลงทุนผ่านกองทุน ETF ได้ ในปี 2022 ปีที่เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีใครตั้งคำถามว่าคริปโตฯ คืออะไรอีกแล้ว การถือครองสกุลเงินดิจิทัลไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลควรที่จะทำได้ง่ายมากกว่านี้

2. ความปลอดภัยยังคงเป็นประเด็นที่ถูกโจมตีอันดับหนึ่ง

การเติบโตทางเทคโนโลยีทำให้โลกของเราเติบโตได้เร็วขึ้นก็จริง แต่ก็แลกมาด้วยการโจมตีรูปแบบใหม่ที่มาในรูปแบบของการโจมตีไซเบอร์ หากยังจำกันได้ ในปี 2021 ได้มีกรณีแฮกเกอร์เข้าโจมตีท่อส่งน้ำมันของสหรัฐอเมริกา และเรียกเงินค่าไถ่เป็นสกุลเงินดิจิทัล ความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องที่สกุลเงินดิจิทัลมักจะถูกกล่าวหามาโดยตลอด และฝั่งที่สนับสนุนคริปโตฯ ก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้เลย

เราจึงยังคงเชื่อว่าประเด็นเรื่องความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของผู้ครอบครองสกุลเงินดิจิทัลยังคงจะเป็นประเด็นต่อไปในปี 2022 หากปีหน้า แฮกเกอร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีฐานอำนาจของภาครัฐมากขึ้น และยิ่งเรียกค่าไถ่เป็นสกุลเงินดิจิทัล เชื่อได้เลยว่าภาครัฐจะต้องออกมาดำเนินการบางอย่างอย่างจริงจัง สำหรับตอนนี้ ความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล บริษัทตัวการการแลกเปลี่ยน และลูกค้าที่มีความรู้เกี่ยวกับการรักษาเงินในกระเป๋าดิจิทัลตัวเองจึงเป็นวิธีที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด

3. การควบคุมจากภาครัฐ

สองประเด็นที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้เป็นปัญหาทางเทคนิคที่ยังพอจะสามารถใช้ความรู้ ความชำนาญในการแก้ไขปัญหา แต่สำหรับการควบคุมของรัฐบาลนั้นเป็นปัญหาทางการเมือง ที่แตกต่างออกไปตามสภาพเศรษฐกิจ สังคม วิถีชีวิตของคนในประเทศนั้นๆ บางประเทศอย่างเช่นจีนเลือกที่จะห้ามใช้สกุลเงินดิจิทัลโดยเด็ดขาด ในขณะที่เอล ซัลลาดอร์เลือกที่จะใช้บิทคอยน์เป็นสกุลเงินประจำชาติ

ระบบการเงินถือเป็นการใช้อำนาจรูปแบบหนึ่ง ภาครัฐมีสิทธิ์ที่จะกำหนดปริมาณเงินและสภาพคล่องในระบบได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง และนั่นคือที่มาของความเสี่ยงทางการเงินในปัจจุบัน การที่เราต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อในตอนนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินที่ถูกทำให้ผิดเพี้ยนจากรัฐบาล เมื่อการกู้ยืมสามารถทำได้อย่างไม่จำกัด เงินในระบบก็ยิ่งมีแต่จะเสื่อมค่าลงเรื่อยๆ แต่รัฐก็ไม่เคยคิดที่จะยอมรับความผิดพลาดในการบริหารนี้ 

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้สร้างสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ ถึงกำนดให้บิทคอยน์มีจำนวนอยู่เพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น และมอบอำนาจการมีส่วนร่วมในระบบการเงินให้ผู้ที่ใช้งานมีสิทธิ์ได้ตัดสินใจ ไม่ใช่การตัดสินใจที่เป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และมีเมื่อทราบดีว่าประชาชนในอานัติของตนเริ่มมองเห็นกลลวงของพวกเขาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐอยากจะกำจัดสกุลเงินดิจิทัลในฐานะคู่แข่งโดยตรงของพวกเขา

คริปโตฯ จะยังคงอยู่ต่อไป แต่จะมีความท้าทายที่ต้องเจอมากขึ้น

สัปดาห์ที่แล้ว มูลค่ารวมของตลาดสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดมีตัวเลขอยู่ที่ $2.38 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขนี้คือมูลค่าตลาดที่เติบโตขึ้นมากกว่าสามเท่าจากตัวเลขในปี 2020 และมูลค่าตลาดในปี 2020 ก็เติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2019 เกือบสี่เท่า หากเอาโมเดลการเติบโตนี้มาจับกับการความเป็นไปได้ที่จะเติบโตของตลาดสกุลเงินดิจิทัลในปี 2022 มีความเป็นไปได้ที่เราอาจจะได้เห็นตัวเลขมูลค่าตลาดสูงเกือบ $5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ 

แม้ว่าบางคนจะไม่เห็นด้วยกับสกุลเงินดิจิทัล แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับโอบรับบล็อกเชน ที่สามารถนำไปต่อยอดกับการเก็บข้อมูล ไฟล์เอกสาร หรือข้อมูลสำคัญต่างๆ ได้ แต่ยิ่งบริษัทหรือองค์กรยอมรับบล็อกเชนหรือสกุลเงินดิจิทัลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกเพ่งเล็งจากภาครัฐมากขึ้นเท่านั้น 

ถึงแม้จะมีคนบอกว่าตลาดสกุลเงินดิจิทัลกลายเป็นฟองสบู่แล้ว แต่ส่วนตัวผมกลับไม่คิดเช่นนั้น ผมมองว่าคริปโตฯ กลายเป็นคู่แข่งของระบบการเงินจากรัฐบาล คริปโตฯ เป็นภัยคุกคามต่อสถานะที่เป็นอยู่ของการควบคุมปริมาณเงินของรัฐบาลและการจัดลำดับชั้นของระบบธนาคารและการเงินแบบดั้งเดิม อุดมการณ์ใหม่ที่ต้องการมาแทนที่การเงินแบบเก่ากำลังพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลง และเรากำลังเป็นสักขีพยานของการเปลี่ยนแปลงนั้น

Tuyên bố:
Nội dung bài viết này không thể hiện quan điểm của trang web FxGecko, nội dung chỉ mang tính chất tham khảo không mang tính chất tư vấn đầu tư. Đầu tư là rủi ro, hãy lựa chọn cẩn thận! Nếu có bất kỳ vấn đề nào liên quan đến nội dung, bản quyền,… vui lòng liên hệ với chúng tôi và chúng tôi sẽ điều chỉnh trong thời gian sớm nhất!

Các bài báo liên quan

您正在访问的是FxGecko网站。 FxGecko互联网及其移动端产品是中国香港特别行政区成立的Hitorank Co.,LIMITED旗下运营和管理的一款面向全球发行的企业资讯査询工具。

您的IP为 中国大陆地区,抱歉的通知您,不能为您提供查询服务,还请谅解。请遵守当地地法律。